ไม่น่าคิดสั้นเลย
เธอเป็นเพื่อนเรียนร่วมชั้นเดียวกันกับผมตั้งแต่เรียนชั้นประถม ยันชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมต้น เป็นต้นมา ผมกับเธอก๋ไม่เคยะบกันอีกเลย มาทราบข่าวจากเพื่อนอีกคนว่า เธอ เสียชีวิตแล้ว..
ผู้เข้าชมรวม
42
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ไม่น่าคิดสั้นเลย
เพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่เป็นสตรีที่ผมจำได้แม่นยำมากที่สุดคนหนึ่ง คือเกื้อชื่อจริงของเธอ คือสุชาดา ลูกลุงเจือ ป้าจุ่น คนในตรอกบ้านมิตรสัมพันธ์ ที่อยู่ติดกับริมสระน้ำ ที่เทศบาลเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินเพื่อมาสูบไว้ใช้ดับเพลิง หากเกิดอัคคีภัย ในเทศบาลตำบลที่ผมเกิด เคยมีอัคคีภัยครั้งใหญ่ท่ี่สุดเพียงครั้งเดียวทำให้ห้องแถวกว่า15 ห้อง ต้องกลายเป็นทะเลเพลิง เพื่อนบ้านที่อยู่บนถนนสายสัมพันธ์ใกล้กับตลาดนอก (ถนนเจ้าพระยาบดินทร์ )ต้องไร้ที่อยู่อาศัย โชคดีว่ามีถนนบำรุงราษฎร์มาคั่นไม่ให้เพลิงรุกข้ามมายังห้องแถวอีกฝั่ง เวลานั้น..ผมกำลังนั่งกินขนมหวานที่ตลาดหัวตะเข้ และบังเอิญที่ร้านพี่เทือง ได้เปิดโทรทัศน์ขาวดำอยู่พอดี ผมจึงทราบข่าวดังกล่าว
“ขณะนี้ เพลิงกำลังลุกไหม้ที่ห้องแถวตลาดในบนถนนสายสัมพันธ์ ผู้คนแตกตื่นโกลาหล หน่วยบรรเทาสาธารณภัยจากเทศบาลได้นำรถดับเพลิง 6 คันรุดมายังที่เกิดเหตุ โดยระดมกำลังสกัดเพลิง พร้อมกันนี้ได้มีรถดับเพลิงจากอำเภอใกล้เคียงมาช่วยอีก 5 คัน ” ผู้ประกาศข่าว ช่องหนึ่งกำลังรายงานสด
“ต้นเพลิง เกิดจากอะไร ??และที่ไหนกันแน่” ผมคิด
จิตใจของผมในเวลานั้น เลื่อนลอย ทั้งภาวนาว่า ขออย่าใช่ เป็นที่บ้านของตนก็แล้วกัน ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย เพราะในข่าวได้ระบุว่าเป็นถนนสายเดียวกันกับบ้านที่ผมอยู่
“เพี้ยง ขอให้ที่บ้านปลอดภัยด้วยเถิด ” ผมภาวนาในใจ
การเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่ ครั้งนี้ ทำให้ผมนึกถึง คำของแม่ ที่กำชับอยู่ตลอดเวลา
“เรื่องฟืนไฟ ต้องรอบคอบนะลูก หลังทำขนมเสร็จ ต้องดับไฟจากท่อนฟืนให้สนิท เพราะบางทีเราดับแล้วควันมันมอดก็จริง แต่ด้านภายในมันยังครุอยู่ อาจค่อยๆประทุลุกขึ้นมาได้อีก” แม่พูด
จริงดังที่แม่ว่า .หลายๆครั้ง ขนาดที่ว่าผมรดน้ำจนชุ่มแล้ว ฟืนบางดุ้นก็ยังลุกโชนขึ้นมาอีก จำต้องรีบตัดไฟต้นลมรดน้ำซำ้อีกครั้ง ในห้องแถวถนนสายนี้ ชาวบ้านทุกคนค่อนข้างจะกลัวเรื่องอัคคีภัย อันน่าจะเกิดจากบ้านผม เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่ใช้ฟืนกับถ่านเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งอาจจะมีการพลาดพลั้ง เผลอเรอได้มากที่สุด ช่วงที่ผมช่วยทำขนมกับแม่ ผมจะเป็นคนดับฟืนและถ่านกับมือของผมเอง ผมมั่นใจและรับประกันว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ชาวบ้านระแวงอย่างแน่นอน”
*****************************
สุชาดา .เป็นลูกคนที่ 6 จากพี่น้องทั้งหมด 8 คนของครอบครัว พ่อและแม่ของเธอจะมาขายของประเภทคบเคี้ยวอย่างเช่น ลูกอม หมากฝรั่ง เมล็ดกวยจี๊ ของขบเคี้ยวต่างๆและหนังสือพิมพ์ บริเวณสี่แยกฝั่งตรงข้ามกับสถานีขนส่ง บขส.(เดิม) ครอบครัวนี้ นับเป็นครอบครัวที่ขยันทำมาหากินมาก ช่วงหลังลุงเจือได้ให้แม่บ้านของเขามาเป็นคนดูแลรถเข็นที่จอดไว้ตรงสี่แยก และตัวเขาเองได้ผันมาเป็นคนขายลอตเตอรี่จร คือจะเดินไปตามห้องแถวต่างๆในเขตเทศบาลตำบล ในเมืองนี้ลุงเจือจะเป็นผู้ผูกขาดขายลอตเตอรี่เพียงเจ้าเดียว สมัยก่อนลอตเตอรี่จะมีการออกรางวัลทุกวันที่10-20 และ 30 ดังนั้นรายได้ลุงเจือจะได้เป็นกอบเป็นกำเพียงรายเดียว ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ ผมมักเห็นสุชาดามาช่วยแม่ของเธอขายของ หรือบางครั้งก็จะเห็นน้องสาวคนเล็กของเธอมาช่วยขายอีกคน
ผมสนิทกับสุชาดา ตั้งแต่เราเรียนชั้นป.3 จนถึงชั้นมศ.3 เพราะเราเรียนร่วมชั้นเรียนด้วยกันมาโดยตลอด สุชาดาเป็นคนหน้าตาดี ผิวดำแดง ร่างท้วม มีไฝเม็ดใหญ่ใต้คางด้านขวา นี่กระมัง ที่ทำให้เธอเป็นคนช่างพูด ช่างเจรจา เธอสนิทกับเพื่อนหญิงชื่อวัฒนา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนเก่งมาก ในห้องเรียนที่เป็นคู่แข่งกับประจักษ์ ก็มีเพียงวัฒนาเพียงคนเดียวที่จะมาแย่งลำดับที่ 1 คนทั้งสองมักจะผลัดกันได้ที่ 1แต่ส่วนใหญ่ประจักษ์จะรักษาเก้าอี้แชมป์ได้มากกว่า
**************************
นิสัยของสุชาดาที่เพื่อนๆในห้องเรียนทราบกันดี คือขี้น้อยใจ และเป็นคนชอบฟ้องคุณครู เธอเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย
“คุณครูขา เด็กชายสมศักดิ์ เด็กชายบุญส่งและเด็กชายศิริ ไม่ยอมถอดรองเท้าวางไว้ให้เรียบร้อย พวกเขาเดินย่ำกับพื้นที่ลงเทียนจนเป็นรอยรองเท้า หนูต้องใช้ผ้ามาลบรอยออกจนหมด”สุชาดา ฟ้องครู
ทุกๆวันสุชาดาจะได้รับคำชมจากคุณครู แต่เธอจะได้รับคำเหน็บแนมจากเพื่อนผู้ชายเพิ่มเติม บางครั้งคำฟ้องของเธอก็มีผลต่อนักเรียนในห้อง เพราะเมื่อพวกเราเล่นเกมโปลิสจับขโมย โดยจับสลากแบ่งข้างกันฝ่ายหนึ่งเป็นตำรวจอีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย พอเริ่มสัญญาญการเล่น ฝ่ายขโมยก็จะต้องวิ่งหลบซ่อนไม่ให้ถูกเพื่อนที่เป็นฝ่ายตำรวจจับตัวและใช้ปืนที่ทำจากกระดาษยิง ทีนี้แหละ ..เก้าอี้ โต๊ะนักเรียนที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ก็จะแตกแถว เอียงซ้ายเอียงขวา เพื่อนผู้หญิงที่นัั่งเล่นหมากเก็บ เล่นขายของ เล่นตุ๊กตากระดาษ เป็นไม่ต้องเล่นกัน เสียงอึกทึกโครมครามของฝ่ายทะโมน ทำให้นักเรียนหญิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สุชาดากับเพื่อนๆนักเรียนหญิงซึ่งกำลังเข้าได้เข้าเข็มกับการพากษ์ตุ๊กตากระดาษ พลันต้องเสียสมาธิ
“คอยดู.. ช่วงเข้าชั้นเรียน ตอนบ่าย เราจะฟ้องคุณครู ”สุชาดา พูด พร้อมชี้หน้ามาทางพวกเรา
“เชิญตามสบายเลย ยัยขี้ฟ้อง ” สมศักดิ์ พูด
ไม่มีครั้งไหนที่เมื่อสุชาดานำกระดาษรายชื่อที่เธอบรรจงจด แล้วมายื่นให้คุณครูพร้อมเอ่ยปากฟ้องแล้ว พวกเราจะรอดจากการโดนเฆี่ยน
“ฟังครูนะ จากนี้เมื่อครูอ่านรายชื่อแล้ว ให้คนที่มีชื่อเดินออกมายืนกลางห้องเรียน ”ครูไสว พูด
นักเรียนชายที่เล่นโปลิสจับขโมยรู้ตัวดี เพียงแต่รอว่าครูจะขานชื่อ ใครจะเป็นคนลำดับที่เท่าไหร่นี่เป็นเรื่องจริงที่นักเรียน ชายไม่ค่อยชอบครูไสวมากนัก เพราะเขาลำเอียงและเลือกปฎิบัติ ครูมักจะรับฟังแต่นักเรียนหญิงที่ฟ้อง การที่พวกเหล่าทะโมนจะปฎิเสธความผิดให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ นับเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะประจักษ์พยานคือโต๊ะเก้าอี้ยังไม่มีการจัดเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ
“สมศักดิ์ บุญส่ง ประเสริฐ ศิริ นำโชค อนันต์ ไพศาล”ครูไสวเรียกชื่อนักเรียน ที่สุชาดาจดรายชื่อให้
และสุดท้ายรายชื่อที่ครูไสวขานก็คือผม เดิมที..นึกว่าสุชาดาจะใจดี ไม่เขียนชื่อของผมลงในกระดาษเสียอีก เป็นเพราะผมพยายามสร้างไมตรีที่ดีกับเธอตลอดมา พวกเราค่อยๆเดินไปที่หน้าชั้นแล้วไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ทำตาปริบๆคนแรกยืนกอดอกยอมรับผิดโดยดุษฎี เพราะประจักษ์พยานชัดเจนคือเก้าอี้บางตัวยังล้มเค้เก้ อยุู่หลายตัว
“ควั่บๆๆ” ไม้เรียวหวดลงที่ก้นของสมศักดิ์สามครั้ง เขากอดอกอย่างหลวมๆทั้งยังเอียงคอมองด้านหลัง ก่อนที่ไม้เรียวจะลง
“อูยๆ ”เขาเผยอปากร้องเบาๆพร้อมเดินเข้าไปยังที่นั่ง
ลำดับถัดมาก็เป็นคิวของบุญส่ง ประเสริฐ ศิริ นำโชค อนันต์ ไพศาลและคนสุดท้ายก็คือผม
ความหนักเบา ที่ครูไสวหวดลงก้นของนักเรียนไม่เท่ากัน เพราะฟังจากน้ำเสียงที่กระทบกับกางเกง นักเรียนหญิงที่เห็นครูลงโทษเพื่อนชายที่เล่นโปลิสจับขโมยล้วนสะใจ พากันยิ้มเย้ยเยาะ อย่างมีความสุข
“สมน้ำหน้าพวกเธอ เข็ดกันมั๊ยล่ะ” สุชาดา พูด
“คนที่ถูกลงโทษ มาจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทาง เดี๋ยวนี้เลย ครูจะสอนแล้ว ”ครูไสวพูด
ครูไสวสอนวิชาภาษาไทย นักเรียนชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเขานัก เพราะดูมีท่าทีลำเอียง รักแต่เหล่านักเรียนหญิง มีหลายครั้งที่เขาเรียกให้นักเรียนไปช่วยบีบนวดไหล่ขณะตรวจสมุด ความใจดีของเขาก็มีอยู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอารมณ์บ่อยๆครั้งที่เขาให้ทำงานคัดไทยในชั้นเรียน เมื่อทุกคนทำเสร็จเขาก็จะให้อิสระ ใครใคร่เล่นอะไรก็เล่น แต่ห้ามอึกทึกโครมคราม จนเพื่อนข้างห้องเดือดร้อน หากครูยังนั่งที่โต๊ะ พวกเราก็จะเล่นกันแบบเงียบๆ เล่นไประแวงไป แต่ก็ยังดีกว่าที่จะเรียนเต็มเวลา
*********************
“พวกเรา ต้องหาวิธีแกล้ง ยัยสุชาดาและพวก เวลาที่คุณครูให้พักไปดื่มน้ำ ไปปัสสาวะที่ห้องน้ำ”อนันต์ เริ่มต้นความคิด
“กู.ก็คิดไว้แล้ว ”ประเสริฐพูด
“คิดไง??ว่ามา สิ”อนันต์ พูด
“ค้นกระเป๋าของพวกเธอ จากนั้น ก็เปิดสมุด หาตุ๊กตากระดาษเอาไปซ่อน”ประเสริฐเสนอแนะ
“จัดการทำลายฉีกคอให้ขาด แล้วทิ้งลงในถังขยะ ชำระความแค้นให้สาสมใจ ที่ชอบขี้ฟ้องดีนัก”อนันต์พูด
กลุ่มเพื่อนชายที่ถูกครูไสวลงโทษระดมสมองกันอย่างรีบด่วน เพราะหากพวกเธอกลับมาจากการไปห้องสุขา แผนชำระแค้นคงจะไม่สำเร็จ
“ไอ้ส่ง ดูต้นทางตรงทางขึ้นบันได ไอ้ศิริยืนรับช่วงต่อ คอยส่งสัญญาญว่าพวกเธอใกล้จะมาถึงห้องหรือยัง” อนันต์พูด
เมื่อกลุ่มช่างฟ้อง เดินออกจากห้องเรียนแล้ว หน่วยปฎิบัติการชำระแค้น ก็เริ่มทำทันที เกือบ10 นาทีที่พวกเธอไป -กลับมาจากห้องสุขาพวกเราก็จัดการจนแล้วเสร็จและนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เหมือนกระเป๋านักเรียนของเรา มีใครมาเปิดค้นเอาของแน่ๆ ”วัฒนา พูด
“ของเราก็เหมือนกัน นะเธอ”สุชาดาพูด
เพื่อนหญิงสองคนซุบซิบคุยกัน พลางกวาดสายตามายังเพื่อนนักเรียนชายที่เพิ่งโดนครูไสวเฆี่ยน ไม่กี่วันที่ผ่านมา
“นี่….พวกเธอมาค้นกระเป๋า พวกเราหรือเปล่า ” สุชาดา พูด สายตาจับจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“มีอะไร?? เหรอเธอ ”สมศักดิ์แกล้งทำไขสือ
“อย่ามาทำไก๋ เลย ท่าทางทุกคนดูมีพิรุธ”สุชาดาพูดต่อ
“อะไร มาใส่ความกันชัดๆ จริงมั๊ยพวกเรา” สมศักดิ์ พูด
วัฒนา เพื่อนหญิงที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง เอาสมุดที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนมาพลิก เพื่อหาตุ๊กตาตัวโปรดที่เธอพยายามบรรจงวาดและลงสีอย่างสวยงาม
“ตุ๊กตาตัวโปรดและชุดเสื้อผ้าของเราหายเกลี้ยงเลย สุชาดา”วัฒนาบอกเพื่อนสนิท
“เราจะดูของเราบ้าง ”สุชาดาพูด พลางรีบหยิบสมุดที่เธอเอาตุ๊กตาสอดไว้มาดู
“ของเรา ก็ไม่เหลือ สักตัวเดียว ” สุชาดา พูด
“เราแน่ใจเลย ว่าพวกเธอต้องแกล้งเอาไปทิ้งอย่างแน่นอน ” เพื่อนหญิงทั้งสองคนพูด
“อย่ามาปรักปรำ พวกเรานะ ทำอะไรต้องมีหลักฐาน อย่ามาพูดมั่วๆ ”สมศักดิ์ พูด
การถูกกลั่นแกล้งครั้งนี้ วัฒนาและสุชาดาจับมือใครดมไม่ได้ พวกเธอจึงจำต้องฝืนทน รับกับสภาพอย่างเจ็บปวด
“วันพระ มิใช่มี แค่วันเดียว “ สุชาดา พูดทิ้งท้ายด้วยใบหน้าที่โกรธจัด ก่อนที่จะเข้าเรียนตามปกติ
***********************
ตามประสาของเด็กที่เหมือนลิ้นกับฟัน นานๆสักครั้งผมกับสุชาดาจึงจะมีความขัดแย้งกัน ทั้งวัฒนากับ สุชาดากับผมจะเรียนในชั้นเดียวกันมาตลอด หลังเรียนจบป.7 แล้ว พวกเราก็มาสอบเรียนต่ออีกในระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนประจำอำเภอ ช่วงมศ.1 ผมกับสุชาดาและวัฒนายังคงเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ช่วงนี้เด็กผู้หญิงเริ่มสู่วัยสา จนมาถึง ชั้นมศ. 2 ผมจึงเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าเป็นวัยรุ่น เพราะเสียงเริ่มแตกหนวดเริ่มขึ้น สิิวเริ่มมีประปรายบนหน้าผากจากที่เคยเล่นหัวกับเพื่อนหญิงดังชั้นประถมน้อยลง เราเริ่มคบหากับเฉพาะเพื่อนชาย กลุ่มเพื่อนหญิงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ รักสวยรักงามมากขึ้นพวกเธอดูสงวนตัว แต่พวกเราผู้ชายคงยังมีเล่นหยอกล้อแบบไร้เดียงสา
“นี่นายแดง เราจะฟ้องคุณครู ว่าเธอเอาหมามุ่ยไปโรยที่โต๊ะนั่งครู" สุพัตรา พูด
“อย่า ป.ม เรื่องของเรา ” แดง ตอบ
การที่แดงเอาหมามุ่ยไปโรยลงบนโต๊ะเพียงหวังว่า เมื่อครูประจำชั้นของพวกเรา เอามือเท้าบนโต๊ะนั่ง ละอองของขนหมามุ่ยก็จะกระจายถูกบริเวณหลังแขน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคันโดยทันที หลายครั้งที่แดงแกล้งครูหลายคนแล้ว
“บอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าใครเอาหมามุ่ยมาแกล้งครู” ครูวารุณีพูด
ทุกคนในชั้นเงียบ
“หากไม่มีใครรู้ และยอมรับผิด ครูจะตียกชั้น ไม่เว้นผู้หญิง” ครูวารุณีพูดอีก
เพียงเอ่ยปากมาเพียงนี้ นักเรียนหญิง ต่างยกมือที่จะบอกครูกันสลอน
“นายแดงกับนายพีระ ค่ะ คุณครู” สุชาดา พูด
ขาดคำที่สุชาดาบอกครู หัวโจกของห้องก็พร้อมถูกลงทัณฑ์ เขามิเคยพรั่นพรึงกับไม้เรียวอย่างหนาขนาดนิ้วโป้ง
“ออกมาเดี๋ยวนี้ ” ครูวารุณี พูด
ทั้งสองคนเคยชินกับการถูกลงโทษ เมื่อมายืนที่หน้าห้อง ก็ยืนกอดอกแล้วมองไปยังหลังห้อง
“ควับๆๆๆ ” เสียงไม้เรียวหวดก้นของ แดงกับพี่ระคนละ 6 ครั้งเขาเดินกลับเข้าที่นั่งแบบชิวๆ พร้อมมีใบหน้ายิ้มแย้มที่ได้เสพไม้เรียวของครูที่เป็นคู่กัดของเขา
**********************
ระหว่างช่วงการเรียน มศ.2- 3 ทางโรงเรียนมีนโยบายให้จัดห้องเรียนโดยแยกเพศเฉพาะชาย- หญิง แต่โรงเรียนก็ยังเป็นโรงเรียนแบบสหศึกษา ระหว่างสองปีนี้ ผมกับสุชาดาและวัฒนาจึงแยกเรียนกันคนละห้อง ความห่างเหินจึงมากขึ้น หลังเรียนจบมศ.3 สุชาดากับวัฒนาเลือกที่จะเรียนสายวิชาชีพ เธอทั้งสองไปเรียนที่วิทยาลัยครู สุชาดาเรียนที่จันทเกษม วัฒนาที่เรียนที่วิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา ส่วนผมมาเรียนที่เกษตรเจ้าคุณฯ นับแต่จบมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยพบกับเพื่อนๆส่วนใหญ่เลย เว้นแต่สมศักดิ์ สุชาติ พินิจและสันติชัย ที่เรียนจบวิทยาลัยครู แล้วมาเป็นครูสอนที่บ้านเกิดเมืองนอน
“ไอ้สัน มึงเจอสุชาดาบ้างมั้ยวะ ” ผมถามเพื่อนสนิทที่เคยนั่งเรียนติดกันมาหนึ่งปี
“บรรจุครู ที่โรงเรียนหนองปรือว่ะ คิดถึงเขาเหรอ”สันติชัย กระเซ้า
“ไม่หรอก อยากถาม อยากคุยเรื่องเก่าๆเท่านั้นแหละ” ผมพูด
“ เธอเพิ่งแต่งงาน กับสิบตำรวจโทหนุ่ม” สันติชัยพูด
“ยังสวย และปากแจ๋ว เหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ไม่เปลี่ยนเลย แต่งงานกับตำรวจคนนี้ กูว่า อยู่ไม่ยืดว่ะ”
“ทำไมวะ ”
“คนละสไตล์เลย ไอ้หมอนั่น เอาแต่ใจ กูเคยสัมผัสมา”
แม้ผมจะกลับไปเยี่ยมแม่ ช่วงที่ยังเรียนที่เกษตรเจ้าคุณทหาร ก็ไม่พบกับสุชาดาเลยสักครั้ง ว่าไปแล้ว แม้เธอจะเป็นคนขี้ฟ้อง ช่างพูด แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมประทับใจไม่ลืม เมื่อผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วได้มาทำงานที่จังหวัดลำปาง ก็ยังเทียวไปมาที่บ้านเกิดเมืองนอน ได้พบกาญจนาเพื่อนสนิทของสุชาดาที่เธอเคยนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันช่วงมศ. 1
“กาญจนา เราอยากทราบข่าว สุชาดาน่ะ ว่าไปทำอะไร ที่ไหน ” ผมถามเพื่อนหญิงที่เคยเรียนร่วมชั้น
“เสียชีวิตแล้วล่ะ เมื่อไม่นานมานี้เอง”กาญจนา ตอบ
“อ้าวเป็นไร ล่ะ เห็นไอ้สันบอกเพิ่ง แต่งงานกันได้ไม่ถึงสามเดือน” ผมพูด
“ผูกคอตาย น่ะ น่าสงสารเพื่อนจังเลยน่ะ ไม่น่าจะอายุสั้นเลย” กาญจนาพูด
ผมรับฟังข่าวจากเพื่อนที่เล่าให้ฟังมา แล้วรู้สึกเห็นใจ จึงถามสาเหตุของการเสียชีวิตเพิ่มเติม
“มันเกิดอะไรขึ้น ” ผมถาม
“เรื่องของเรื่อง คือมันน้อยใจสามีน่ะ ทั้งๆที่ฝ่ายชายนัดว่า จะพาไอ้สุ ออกไปทานข้าวเย็นนอกบ้าน แล้วฝ่ายชายเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่รักษาสัญญาที่พูดไว้ หนำซ้ำยังขับรถออกจากบ้านไปเล่นสนุ๊กเกอร์ โดยไม่สนใจเมีย”กาญจนาพูด
“ก็เลยเป็นสาเหตุ ให้ผูกคอตาย ”ผมพูด
“ใช่ .ไม่น่าเลย เพื่อนเรา อายุยังเพิ่งเบญจเพสเอง นับเป็นโศกนาฎกรรมความรัก นะ”
*********************************
สองสามปี ที่ผ่านมาที่ผมมีโอกาสมางานเลี้ยงรุ่นที่เพื่อนๆจัด ผมพยายามมองหาเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยประถม กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ล้มหายตายจาก ห้าสิบกว่าปีที่ผมจบชั้นมศ.3 ไม่เคยพบกับสุชาดาและวัฒนาเลยสักครั้งเดียว ทราบว่าวัฒนายังมีชีวิตอยู่แต่สุชาดาได้จากไปตั้งแต่อายุ 25 ปี หากวันนี้เธอยังมีชีวิต และได้มาร่วมงานพบปะสังสรรค์ประจำปี
ผมอยากจะถามกับเธอว่า
“ยัยสุ… เธอยังติดใจเรื่องตุ๊กตา ที่พวกเราเอาไปทิ้งขยะหรือเปล่าตอนชั้น ป.4 น่ะ"
“ยังโกรธ เราหรือเปล่า ”
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๓ -๘-๖๗)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น